ประกันชีวิต...ฮีโร่ในบ้านที่ทุกคนมองข้าม


ประกันชีวิต...ฮีโร่ในบ้านที่ทุกคนมองข้าม

หลายคนในวัยเด็ก มักมีฮีโร่ในดวงใจ และฮีโร่มักจะออกมาช่วยหรือปกป้องคนหลายคนในช่วงวิกฤต
ประกันชีวิต ก็เช่นเดียวกัน...


"เพราะประกัน ไม่ใช่แค่ กระดาษ 1 แผ่น
แต่คือ Hero เมื่อเกิด Zero Zone สำหรับคุณ"


💰มูลค่าเงินสด ขุมทรัพย์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต💰

วันที่ 09 ต.ค. 2560 เวลา 21:51 น.
มูลค่าเงินสด ขุมทรัพย์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต
มูลค่าเงินสดกรมธรรม์นั้นเป็นมูลค่าที่เกิดขึ้น จากการที่เราจ่ายค่าเบี้ยประกัน และบริษัทประกันชีวิตได้นำค่าเบี้ยส่วนที่เหลือ หลักจากหักค่าธรรมเนียมในการบริหารกรมธรรม์ และค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการประกันชีวิตเรียบร้อยแล้ว ไปลงทุนบริหารจัดการให้ได้ผลตอบแทนกลับมา บริษัทก็จะแบ่งผลตอบแทนส่วนหนึ่ง กลับมาให้เราอยู่ในกรมธรรม์ ทุกปีที่เราจ่ายเบี้ยประกัน ซึ่งถ้ายิ่งเราจ่ายเบี้ยนาน หรือใกล้ครบระยะเวลาจ่ายเบี้ยที่กำหนดมากเท่าไร มูลค่าเงินสดก็จะถูกสะสมอยู่ในกรมธรรม์เรามากขึ้นเท่านั้น (ดังนั้น ในปีแรกๆ กรมธรรม์อาจจะยังมีมูลค่าเงินสดอยู่น้อย หรือไม่มีเลย ทำให้ถ้ารีบเวนคืน ปิดกรมธรรม์ก่อน เราจะขาดทุนเทียบกับเบี้ยที่จ่ายมาอย่างแน่นอน)
หากกรมธรรม์ของเราเริ่มมีมูลค่าเงินสดถึงระดับหนึ่งแล้ว เราจะสามารถเลือกบริหารจัดการกรมธรรม์ได้หลายวิธี ดังนี้
1.เวนคืนมูลค่าเงินสดกรมธรรม์
คือ การเลือกหยุดจ่ายเบี้ยประกัน แล้วขอเวนคืนเงินมูลค่าเงินทั้งหมดคืนมา วิธีนี้ทำให้เราได้เงินก้อนหนึ่งกลับคืนมา (เท่ากับมูลค่าเงินสดทั้งหมดที่มีอยู่ในกรมธรรม์) หากเราไม่มีความจำเป็นหรือไม่ต้องการการคุ้มครองจากประกันชีวิตกรมธรรม์ฉบับนั้นแล้ว ซึ่งเมื่อเวนคืนแล้ว จะถือเป็นการปิดกรมธรรม์ สัญญาประกันชีวิตเป็นอันสิ้นสุดทันที
2.เปลี่ยนกรมธรรม์เป็นกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ
  • คือ การหยุดจ่ายเบี้ยประกัน แล้วขอใช้สิทธิที่ทำให้กรมธรรม์ยังมีการคุ้มครองชีวิตต่อไปจนครบสัญญาเหมือนเดิม และเมื่อครบสัญญาก็จะได้รับเงินครบสัญญาก้อนหนึ่ง แต่มูลค่าความคุ้มครองชีวิตและเงินครบสัญญาที่จะได้อาจจะลดลงจากเดิม (ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินสดที่มีอยู่)
3.แปลงกรมธรรม์เป็นการประกันภัยแบบขยายเวลา
คือ การหยุดจ่ายเบี้ยประกัน แล้วขอใช้สิทธิที่ทำให้กรมธรรม์ยังมีการคุ้มครองชีวิตต่อไป โดยที่มูลค่าความคุ้มครองชีวิตเท่าเดิม แต่ระยะเวลาที่คุ้มครองชีวิตอาจจะไม่ครบสัญญาเหมือนเดิม (ซึ่งจะคุ้มครองต่อไปอีกกี่ปี มีเงินคืนทันทีก้อนหนึ่งหลังจากใช้สิทธิ หรือไม่เงินคืนเมื่อครบสัญญาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินสดที่มีอยู่)
4.กู้เงินจากมูลค่าเงินสด
เมื่อกรมธรรม์มีมูลค่าเงินสดระดับหนึ่ง เราสามารถแจ้งบริษัทประกัน เพื่อขอกู้เงินจากมูลค่าเงินสดที่เรามีอยู่ในกรมธรรม์ได้ หากมีความจำเป็น โดยจะกู้ได้สูงสุดไม่เกินมูลค่าเงินสดที่มีอยู่ และถูกคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่บริษัทประกันกำหนด (สูงกว่าธนาคารเล็กน้อย) โดยที่ผลประโยชน์ต่างๆ ของกรมธรรม์ก็ยังมีผลอยู่ตามเดิม แต่หากมูลค่าเงินกู้บวกดอกเบี้ยค้างชำระ มีมูลค่ารวมกันสูงกว่ามูลค่าเงินสดเมื่อไหร่ เราจะถูกปิดกรมธรรม์ทันที
นอกจากการขอกู้ยืมตามเจตนาของเราแล้ว หากเราไม่จ่ายค่าเบี้ยประกันปีต่อ บริษัทประกันก็จะใช้สิทธิกู้เงินจากมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์มาจ่ายเป็นค่าเบี้ยปีต่อแทนให้เราโดยอัตโนมัติ ทำให้กรมธรรม์ยังคงมีผลบังคับอยู่เหมือนเดิม จนกว่ามูลค่าเงินกู้บวกดอกเบี้ยค้างชำระ มีมูลค่ารวมกันสูงกว่ามูลค่าเงินสดที่เหลืออยู่ ก็จะถูกบังคับปิดกรมธรรม์ ยกเว้น เราจะกลับมาชดใช้หนี้สินในการกู้ยืมให้เรียบร้อย กรมธรรม์ถึงจะกลับมามีผลบังคับใช้เหมือนเดิม
จะเห็นได้ว่า การมีมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ ทำให้เรามีทางเลือกมากมายที่จะบริหารจัดการกรมธรรม์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น หากเรารู้ว่าเราต้องทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองภาระทางการเงินที่มีอยู่ (เช่น ค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนลูก หรือภาระหนี้สิน) แต่ภาระการเงินเหล่านั้นย่อมลดลงตามกาลเวลาหากเรายังมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำให้มูลค่าคุ้มครองชีวิตของเราควรจะลดตามภาระการเงินเหล่านั้น แต่ถ้าเราทำประกันชีวิตฉบับเดียว เราอาจจะไม่สามารถขอลดวงเงินคุ้มครองชีวิตได้เรื่อยๆ ดังนั้น เราอาจจะใช้ความรู้ในการบริหารมูลค่าเงินสด ด้วยการทำประกันชีวิตมากกว่า 1 กรมธรรม์ แล้วค่อยๆ ทยอยใช้สิทธิกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ เพื่อลดความคุ้มครองลง ตามความจำเป็นทางภาระการเงินที่เหลืออยู่ ก็จะช่วยให้เราสามารถออกแบบความคุ้มครองชีวิตให้สอดคล้องกับภาระการเงินที่มีอยู่ได้ดีขึ้นกว่าการเลือกทำประกันชีวิตแค่กรมธรรม์เดียวแบบทั่วไป